“ผมผ่านชีวิตอันมากด้วยความอัปยศ” ดะไซ โอซามุ

                เมื่อพูดถึงนักเขียนวรรณกรรมของญี่ปุ่น สิ่งแรกที่จะนึกถึงกันก็คือผลงานวรรณกรรมที่มีความดำดิ่งไปถึงก้นลึกของจิตใจ โดยส่วนมากนักเขียนจะเล่าพรรณนาถึงชีวิตที่ตัวเองนั้นได้ประสบพบเจอในช่วงชีวิต หรือไม่ก็นวนิยายที่แสดงความบิดเบี้ยววิปริตของด้านมืดในจิตใจมนุษย์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้เรามองข้ามไม่ได้คือหลายๆ คนล้วนเลือกจบชีวิตด้วย “การฆ่าตัวตาย” ตามวิถีซามุไรที่รู้จักกันดีคือ “บุชิโด” เสียชีพไม่เสียเกียรติ ผู้ที่เลือกจบชีวิตตนเองจะได้รับการยกย่อง แซ่ซ้อง ถึงความกล้าหาญ กระทั่งถูกเชิดชูเป็นบุคคลสำคัญ สำหรับนักเขียนญี่ปุ่นผู้ซึ่งกระทำอัตวิบาตรกรรมได้น่าจดจำและเป็นที่รู้จักมากที่สุดของคนไทย ณ เวลานี้คงหนีไม่พ้น

“ดะไซ โอซามุ”  (1909-1948)

ดะไซ กับบาร์ลูแปง

       ดะไซ  เป็นที่รู้จักในเมืองไทยจากผลงานอันลื่อลั่นอย่าง “สูญสิ้นความเป็นคน” ที่ได้รับความนิยมจนต้องตีพิมพ์ซ้ำในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ด้วยจำนวนที่เหนือความคาดหมาย  โดยหนังสือเล่มนี้ได้มีความเกี่ยวโยงกับชีวิตจริงของนักเขียนเองด้วย  ถือเป็นผลงานลำดับท้ายๆ ก่อนที่เขาจะเลือกจบชีวิตตนเอง

9786164134539
สูญสิ้นความเป็นคนฉบับภาษาไทย โดยสำนักพิมพ์เจลิท

      ในนิยายเราจะพบว่าตัวเอกของเรื่อง (โยโซ) มีความหวาดกลัวจิตใจของฝ่ายตรงข้ามและไม่เชื่อมั่นในตัวมนุษย์ด้วยกัน  ภาพที่เขาเห็นคือโลกนี้ล้วนโหดร้าย พวกมนุษย์ต่างใส่หน้ากากเข้าหากัน และปฎิบัติตนเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น ในขณะที่ตัวละครของเขาเลือกที่จะซุกซ่อนความเป็นตัวเองในเบื้องลึกด้วยการนำเสนอตัวตนในรูปแบบให้คนอื่นเข้าถึงง่าย ภาพลักษณ์ของดะไซเองก็ไม่ได้ต่างกันคือแสร้งเป็นคนอัธยาศัยดี และพยายามสร้างบรรยากาศอันน่ารื่นรมณ์เวลาที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นทั้งที่ภายในจิตใจของเขากรีดร้องและเฝ้าอุทรณ์ต่อความศรัทธาที่มีต่อชีวิตอันน่าอดสูของตัวเองเสมอ

1387854128-7100531105-o
รูปจากภาพยนตร์ No Longer Human ปี ค.ศ. 2010
D2OgX5HUcAAgTUD
รูปจากภาพยนตร์เรื่อง Ningen Shikkaku ปี ค.ศ. 2019

          ระหว่างที่ญี่ปุ่นค่อยๆ มอดไหม้ไปกับไฟสงคราม ทำให้ดะไซผู้ซึ่งสิ้นหวังกับชีวิตพยายามฆ่าตัวตายหลายครั้ง ทั้งกระโดดน้ำ แขวนคอ ฯลฯ จนในที่สุดปี 1948 หลังจากที่สงครามสงบลงแต่ญี่ปุ่นพังพินาศ ก็มีคนพบร่างของดะไซและแฟนสาว ยามาซากิ โทมิเอะ ที่หายตัวไปก่อนหน้านั้นหนึ่งสัปดาห์พร้อมโน้ตลาตายลอยขึ้นมาในคลองทามะงาวะ (แถบมิตากะ กรุงโตเกียวในปัจจุบัน) และคงเป็นเรื่องบังเอิญที่วันซึ่งพบศพคือวันเดียวกันกับวันเกิดอายุครบ 37 ปีของเขา

07-72700
อนุสรณ์ของดะไซ

         เรียกได้ว่าผลงาน “สูญสิ้นความเป็นคน” ก็คือการเขียนอัตชีวประวัติด้วยมือของนักเขียนเองอย่างไม่ตั้งใจ  เพราะ “โยโซ” เองนั้นก็มีจุดจบไม่ต่างกันนัก หากวลีที่ว่า “เมื่อใดที่เราไม่อาจเข้าใจในผลงานที่นักเขียนนำเสนอ แต่หากเรารับทราบถึงประวัติของนักเขียนคนนั้นพอสังเขป เราจะสามารถตีความสิ่งที่นักเขียนต้องการสื่อผ่านตัวอักษรได้ไม่มากก็น้อย” เป็นจริง ก็ถือได้ว่าวรรณกรรมชั้นยอดจากประเทศญี่ปุ่นเล่มนี้มีคุณค่าควรแก่การอ่านและศึกษาเพื่อเรียนรู้ถึงความซับซ้อนในจิตใจมนุษย์เป็นอย่างยิ่งค่ะ

img_2653
ความคลั่งไคร้ของเหล่าคอวรรณกรรมกับการนำผลเชอร์รี่มาตกแต่งตามชื่อผลงานเรื่องสั้น ณ สุสานวัดเซ็นริวจิ

         อนึ่ง ในช่วงท้ายๆ ของชีวิต ดะไซเลือกใช้ชีวิตในเมืองโตเกียว ย่านมิตากะ ซึ่งทางเมืองเองก็ยังคงอนุรักษ์และคงไว้ซึ่งสิ่งก่อสร้างที่เป็นหนึ่งในหน้าตำนานของนักเขียนสุดอีโม หากไม่นับรวมสุสานที่วัดเซ็นริวจิ เรายังสามารถไปชมบ้านเก่า ร้านค้าและบาร์ที่แสนโปรดปราน เส้นทางดอกอะจิไซ ตลอดจนทางเดินเลียบแม่น้ำทามะกาว่า จุดที่เขาเคยมานั่งเหม่อมองชีวิตอันใกล้สิ้นสูญได้อีกด้วย

dsc-3889-largejpg
dazai Osamu Literary Salon (Mitaka Japan)

 ถึงขนาดนี้แล้วจะไม่ลองละเอียดยลผลงานขวัญใจวัยรุ่นญี่ปุ่นและท่องเที่ยวตามรอยสถานที่ที่เกี่ยวโยงและมีอิทธิพลต่อชีวิตตลอดจนมุมมองของนักเขียนผู้เฉิดฉายท่ามกลางโลกอันสูญสิ้น “ผมผ่านชีวิตอันมากด้วยความอัปยศ” กันอีกหรือคะ ?

พระจักรพรรดิญี่ปุ่น อัญเชิญดาบคุซานางิ ในตำนาน ประกอบพิธีสักการะเทพเจ้า

               วันที่ 18 เม.ย. เอเอฟพี รายงานว่า สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ เสด็จฯ พร้อมด้วย สมเด็จ พระจักรพรรดินีมิชิโกะ แห่งญี่ปุ่น ไปยังศาลเจ้าอิเซะ ศาลเจ้าชินโตที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดอีกแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ในจังหวัดมิเอะ ตอนกลางของประเทศ เพื่อทรงถวายสักการะและประกอบพิธีถวายรายงานแด่เทพเจ้าบรรพบุรุษ ว่าจะทรงสละราชสมบัติ

pq5tw77btm11ATil5ii-o

              โดยองค์จักรพรรดิ ทรงเชิญเครื่องราชกกุธภัณฑ์อันประกอบด้วยพระแสงดาบคุซานางิ และอัญมณียาซากะนิ จากพระราชวังกรุงโตเกียว มาประกอบพิธีร่วมกับ กระจกยาตะ ที่เก็บรักษาที่ศาลเจ้าอิเซะ ด้วย ทั้งนี้ สิ่งล้ำค่าทั้ง 3 ชิ้นนี้ ถือเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ของราชวงศ์ญี่ปุ่นสืบทอดมาแต่โบราณ

931547-01-02-696x475930986-01-02-696x490

 

                  สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะแห่งญี่ปุ่น เสด็จไปยังศาลเจ้าใหญ่อิเซะ จังหวัดมิเอะ เพื่อประกอบพิธีถวายรายงานแด่เทพเจ้าในศาสนาชินโต ว่าพระองค์จะทรงสละราชสมบัติในวันที่ 30 เมษายนนี้ ในการนี้ได้มีการอัญเชิญเครื่องราชกกุธภัณฑ์ทั้ง 2 คือพระแสงดาบคุซานางิ และยาซากานิโนะมางะตามะ หรือลูกปัดหยกลักษณะคล้ายหยาดน้ำฝน ออกมาจากจากพระราชวังอิมพีเรียลเพื่อประกอบพิธีร่วมกับเครื่องราชกกุธภัณฑ์อีกชิ้นหนึ่งที่เก็บรักษาไว้ ณ ศาลเจ้าใหญ่อิเซะ นั่นคือคันฉ่องหรือกระจกสำริด มีชื่อว่า ยาตะโนะคะงะมิ

931474-01-02-696x463

 นับเป็นเรื่องไม่บ่อยครั้งนักที่สาธารณชนจะได้เห็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ประจำสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น โดยเฉพาะพระแสงดาบคุซานางิ ซึ่งถือเป็นดาบที่มีชื่อเสียงที่สุดเล่มหนึ่งของโลก มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับอภินิหาร และตำนานมากมาย และนับแต่โบราณมีเสียงเล่าลือว่าคุซานางิสูญหายไปแล้ว องค์ปัจจุบันอาจเป็นของจำลอง แต่ไม่มีการยืนยันเรื่องนี้

Regalia-1-e1555606757905

                 แต่เดิมดาบคุซานางิเก็บรักษาไว้ที่ศาลเจ้าอัตสึตะ นครนาโกย่า มีเรื่องเล่ากันว่า แม้แต่หัวหน้านักบวชประจำศาลเจ้าเองก็ยังไม่เคยเห็นดาบจริงๆ ยกเว้นนักบวชที่ชื่อมัตสึโอกะ มาซานาโอะ ในสมัยเอโดะ (ปีค.ศ. 1603-1868) อ้างว่าเคยเห็นดาบเล่มนี้ ดาบมีความยาว 82 เซนติเมตร คมดาบคล้ายใบว่านน้ำ กลางคมดาบมีสันคล้ายก้างแกนสันหลังปลา ตัวดาบเป็นโลหะสีขาว สภาพยังดีแม้จะผ่านกาลเวลามานับพันปี เก็บไว้ในกล่อง 3 ชั้น ชั้นในสุดคือกล้องไม้การบูร ชั้นต่อมาคือกล่องหิน ชั้นนอกสุดคือกล่องไม้

12523066_1691824127758568_5310727768898553764_n

                   สำหรับประวัติของดาบคุซานางิ ปรากฎในบันทึกประวัติศาสตร์โคจิกิ ดาบเล่มนี้ซ่อนอยู่ในหางของงูแปดหัว ซึ่งถูกเทพเจ้าแห่งทะเลและพายุ คือ ซูซาโนโอสังหาร  และซูซาโนโอะได้ถวายดาบให้กับอามาเทราสึ เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นพี่สาว และเป็นบรรพชนของจักรพรรดิญี่ปุ่นทุกพระองค์ ต่อมาอามาเทราสึได้มอบดาบนี้ พร้อมด้วยกระจกสำริด และอัญมณีให้กับลูกหลานของพระองค์ ที่จะเสด็จลงมาเป็นผู้ปกครองแผ่นดินญี่ปุ่น
cc

                 ทั้งนี้ ชื่อดาบคุซานางิ แปลว่า ดาบตัดพงหญ้า มาจากตำนานที่เล่าขานว่า สมเด็จพระจักรพรรดิเคโก ได้พระราชทานดาบนี้ให้กับยามาโตะ ทาเครุ นักรบผู้ยิ่งใหญ่ในช่วงราวศตวรรษที่ 1 – 2 ครั้งหนึ่ง ทาเครุถูกศัตรูลวงเข้าไปในทุ่งหญ้าแล้วถูกโอบล้อมไว้ ศัตรูได้ยิงธนูเพลิงหวังจะเผาเขาให้ตาย ทาเครุจนปัญญาจึงพยายามใช้ดาบคุซานางิฟันพงหญ้าเพื่อตีฝ่าออกมา แต่ทุกครั้งที่เขาเงื้อดาบฟันจะปรากฎพลังลมพัดรุนแรง เขาจึงทราบว่าดาบนี้มีพลังในการบังคับลม จึงใช้มันควบคุมลมให้พัดเปลวเพลิงไปทางศัตรู ไม่เพียงรอดจากกองไฟมาได้ เขายังได้รับชัยชนะอย่างงดงามอีกด้วย และตั้งชื่อดาบนี้ว่า คุซานางิ 

10450588_415388085306399_5170498748282972206_n

               นอกจากนี้ ดาบคุซานางิ ยังปรากฏในเรื่องเล่าและวัฒนธรรมร่วมสมัย วัยรุ่นทั่วโลกอาจรู้จักดาบคุซานางิจากการ์ตูนคอมมิคชื่อดังอย่าง NARUTO นินจาจอมคาถา ในฐานะอาวุธของซาสึเกะ แฟนหนุ่มนารุโตะ ทั้งยังปรากฎอยู่ในเกมส์คอมพิวเตอร์ชื่อดัง Okami (Play Station 2) จากค่ายแคปคอมที่นำเอาศิลปะการวาดรูปภาพด้วยพู่กันมาผสมผสานกับตำนานเทพที่ผ่านการตีความใหม่อีกด้วย

l9fqvc7izbtl8uac22le

ขอบคุณที่มา : https://www.posttoday.com/world/586713

ขอบคุณรูปภาพจาก : https://anngle.org/th/j-culture/kusanagi.html

ญี่ปุ่นเปิดตัวมาสคอต “โอลิมปิก 2020”

ญี่ปุ่นเปิดตัวมาสคอต “โอลิมปิก 2020”

1519800196_72769_106292_1704_s

 

            ที่กรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่น เปิดตัว 2 มาสคอตประจำการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ญี่ปุ่นจะเป็นเจ้าภาพในปี ค.ศ. 2020 หรืออีก 2 ปีข้างหน้า โดยใช้ชื่อ “มิไรโตวะ” และ “โซเมอิตี้”ทางการญี่ปุ่นเปิดตัวมาสคอตประจำการแข่งขันโอลิมปิกปี 2020 บริเวณใจกลางกรุงโตเกียวในวันนี้ โดยมาสคอตสีฟ้ามีชื่อว่า “มิไรโตวะ” ส่วนมาสคอตสีชมพูที่เป็นมาสคอตของการแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกมีชื่อว่า “โซเมอิตี้”

          มิไรโตวะเกิดจากการผสมคำภาษาญี่ปุ่นสองคำที่แปลว่าอนาคตกับนิรันดร์กาล ในขณะที่โซเมอิตี้มาจากคำว่า โซเมอิโยชิโนะ ซึ่งเป็นต้นซากุระสายพันธุ์ที่มีมากที่สุดในญี่ปุ่น มีดอกสีขาวหรือชมพูจางๆ และคำว่าโซเมอิโยชิโนะยังออกเสียงคล้ายกับ คำในภาษาอังกฤษว่า “โซ ไมท์ตี้” ที่แปลว่ายิ่งใหญ่ด้วย

CONTENT-850x550-4-2

                    มาสคอตทั้งสองตัวนี้ได้รับเลือกจากนักเรียนชั้นประถมทั่วประเทศ โดยเป็นความพยายามของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นความสนใจในหมู่นักเรียน และเพื่อแสดงถึงความโปร่งใส่ในกระบวนการคัดเลือก

                    ทีมงานที่ออกแบบมาสคอตสองตัวนี้ได้อธิบายว่า ความสัมพันธ์ของสองตัวนี้คือเป็นเพื่อนสนิทกัน โดยเจ้ามิไรโทวะจะให้กลิ่นอายของความดั้งเดิมสะท้อนวัฒนธรรมของญี่ปุ่น แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกที่ทันสมัยผ่านรูปลักษณ์สุดล้ำ ส่วนเจ้าโซเมตี้จะให้ความรู้สึกสงบ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความแข็งแกร่ง ภายนอกที่สื่อถึงความสง่างามและมีหัวใจที่มีเมตตาและรักธรรมชาติ

            ความพิเศษของเจ้าสองตัวนี้คือมีพลังพิเศษเหมือนกับซูเปอร์ฮีโร่ โดยพลังพิเศษของมิไรโทวะคือ สามารถหายตัวไปที่ไหนก็ได้ในทันที และพลังพิเศษของโซเมตี้ คือ สามารถพูดคุยกับก้อนหินและสายลมได้ รวมทั้งยังสามารถเคลื่อนย้ายสิ่งของได้ด้วยการมอง

COVER-1140x660-16

                  ซึ่งชื่อของเจ้ามาสคอต 2 ตัวนี้มาจากการโหวตของนักเรียนชาวญี่ปุ่นทั้งในประเทศและนอกประเทศ จำนวน 16,700 โรงเรียน โดยโหวตผ่านโปรแกรม Yoi Don! ซึ่งเป็นโปรแกรมการศึกษาของญี่ปุ่นที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย การให้เด็กนักเรียนโหวตชื่อของมาสคอตจะทำให้เขาได้มีส่วนร่วมในการจัดงานโอลิมปิกครั้งนี้การนำมาสคอตมาใช้ในกีฬาโอลิมปิกเริ่มขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1968 เพื่อเป็นตัวแทนนำเสนอภาพลักษณ์ของประเทศผู้เป็นเจ้าภาพ ซึ่งที่ผ่านมามาสคอตต่างก็มีรูปร่างที่หลากหลายตั้งแต่สุนัขไปจนถึงหมี หรือเทพเจ้าในตำนานกรีกไปจนถึงเอเลี่ยน ซึ่งลักษณะของมาสคอตแต่ละตัวขึ้นอยู่กับประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตของประเทศที่เป็นเจ้าภาพแต่ละปี

               โดยกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 29 นี้ ประเทศญี่ปุ่นจะเป็นเจ้าภาพ มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 24 กรกฎาคม ถึง 9 สิงหาคม 2020 ส่วนกีฬาพาราลิมปิกจะเริ่มจัดช่วง 25 สิงหาคม ถึง 6 กันยายน 2020

ขอบคุณภาพจาก : https://thestandard.co/miraitowa-someity-tokyo-2020-olympic-games-mascots/   และ https://www.msn.com

BTS ‘Love Yourself: Speak Yourself’ Japan Tour 2019

BTS หรือ บังทันโซนยอนดัน บอยแบนด์เกาหลีที่เป็นที่จับตามองทั่วโลกในขณะนี้

                 พวกเขาคือศิลปินจากค่าย Big Hit Entertainment  ซึ่งพึ่งปิดการแสดงคอนเสิร์ต BTS ‘Love Yourself: Speak Yourself’ World Tour 2019 เป็นที่สุดท้ายที่กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 7-6 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นการประสบความสำเร็จอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญของ BTS สำหรับการจัดแสดงคอนเสิร์ตที่ประเทศไทย ซึ่งเป็นศิลปินเกาหลีวงแรกที่สามารถจัดคอนเสิร์ตที่สนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถาน เป็นเวลา 2 วัน และบัตรก็ sold out ไปอย่างรวดเร็ว

                  และแน่นอนว่าก่อนหน้าที่วง BTS เองก็ได้จัดแสดงคอนเสิร์ตมาแล้วทั่วโลกและที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้นไปอีกคือ ก่อนที่จะมาจัดแสดงที่สนามกีฬาราชมังคลานั้น  ก็ได้มีการจัดแสดงคอนเสิร์ตที่ประเทศญี่ปุ่นมาแล้ว ใน BTS ‘Love Yourself: Speak Yourself’ Japan Tour 2019 ความยิ่งใหญ่ของ BTS นั้นสามารถวัดได้อย่างชัดเจน จากการขายบัตรได้หมด แม้จะจัดในสนามที่มีความจุมากกว่าสนามกีฬาราชมังคลา อย่างการไปทัวร์ที่ญี่ปุ่นในวันที่ 12-13  January ที่ NAGOYA DOME ,  16-17 February FUKUOKA YAFUOKU! DOME ,  6 – 7 July  Yanmar Stadium Nagai, OSAKA  ,  13 – 14   July  Ecopa Stadium, SHIZUOKA  

               ในปี 2018 ก็ได้ทำการจัดแสดงที่ TOKYO DOME วันที่ 13-14 November  และ  KYOCERA DOME OSAKA  ในวันที่ 21,23-24 November  

                ซึ่งแน่นอนว่าสถานที่จัดงานในแต่ละที่นั้นมีความจุและขนาดที่ใหญ่มาก วันนี้จึงอยากจะนำเรื่องของสถานที่การจัดแสดงในญี่ปุ่นแต่ละที่มาให้ทุกคนได้อ่านกันนะคะ

        – Kyocera Dome, OSAKA  มีความจุ  55,000 ที่นั่ง

kyousera44 kyocera-dome-osaka

        – Tokyo Dome , TOKYO  มีความจุ 55,000 ที่นั่ง , ความจุจริง 42,000 ที่นั่ง

450px-TokyoDome8946

        – Yanmar Stadium Nagai, OSAKA  มีความจุ 47,000 ที่นั่ง

1661f944-7379-11e8-8dd7-06326e701dd4

         – Yafuoku  Dome, FUKUOKA  มีความจุ 52,000 ที่นั่งสำหรับการจัดคอนเสิร์ต 

1661f944-7379-11e8-8dd7-06326e701dd4 fukuokadome_101_web_w720

         – Ecopa Stadium, SHIZUOKA   มีความจุ 50,889 ที่นั่ง

RWC-Ecopa-Stadium Ecopa030304

         – NAGOYA Dome มีความจุ 49,692 ที่นั่ง

NAGOYA Dome NAGOYA Dome1

        – สนามราชมังคลากีฬาสถาน มีความจุ 49,722 ที่นั่ง 

ราชมังคลา-1-1-of-15-900x599

             และนี่ก็เป็นเพียงสนามกีฬาส่วนหนึ่งเท่านั้นที่เรานำมาให้ทุกคนได้ทราบกันนะคะ ยังมีสนามกีฬาอีกหลายแห่งในอีกหลายประเทศที่ BTS  แสดงคอนเสิร์ต ทั่วโลก  แต่ละที่นั้นก้ทำการแสดงที่ละ 2 วันเป็นอย่างน้อยเลยนะคะ และเมื่อวันที่ 12 เมษายน ที่ผ่านมาก็วง BTS ก็ได้ปล่อยอัลบั้มใหม่ออกมา ชื่อว่า Map of the Soul: Persona โดยปล่อยเพลง Boy With Luv feat.Halsey มาจนถึงวันนีก็แค่ 5 วันเท่านั้น แต่พวกก็ได้แสดงความยิ่งใหญ่ ในฐานะของศิลปินจากเอเชียที่สามารถ ทำ  Perfect All Kill  ขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ได้ทุกชาร์ตเพลง โดยในเวลา 6 โมงเย็น ตามเวลาเกาหลีใต้ “Boy With Luv” มิวสิควีดีโอล่าสุดของ BTS ทำยอดวิวภายใน 24 ชั่วโมงได้ถึง 78 ล้านวิว นับเป็นสถิติใหม่ของวงการเพลง และยังเอาชนะสถิติเดิมของตัวเอง ที่ทำไว้ใน MV Idol ซึ่งตอนนั้นทำไว้ 45.9 ล้านวิว ลงอย่างราบคาบ   

 

              นี่คือ รายชื่อ10 อันดับมิวสิควีดีโอที่มียอดวิวใน 24 ชั่วโมงมากที่สุดตลอดกาล
BTS feat. Halsey -“Boy with Luv” 78 million
BLACKPINK – ‘Kill This Love’ M/V – 56.7 million
Ariana Grande – ‘thank u, next’ – 55.4 million
BTS (방탄소년단) – ‘IDOL’ Official MV – 45.9 million
Taylor Swift – ‘Look What You Made Me Do’ – 43.2 million
Eminem – ‘Killshot’ – 38.1 million
BLACKPINK – ‘뚜두뚜두 (DDU-DU DDU-DU)’ M/V – 36.2 million
PSY – ‘GENTLEMAN’ M/V – 36 million
BTS (방탄소년단) – ‘FAKE LOVE’ Official MV – 35.9 million
TWICE ‘YES or YES’ M/V – 31.4 million

CR : www.dudeplace.com ,

 https://www.japanconcerttickets.com/bts-japan-2019/

www.wikipidia.com

พิพิธภัณฑ์กระดาษแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม Mino Washi

                 “พิพิธภัณฑ์กระดาษแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม”  Mino Washi เป็นพิพิธภัณฑ์ที่คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับ Mino Washi ซึ่งเป็นกระดาษเก่าแก่ของญี่ปุ่นซึ่งมีประวัติศาสตร์และการใช้งานมากว่า 1300 ปี ห้องโถงแสดงนิทรรศการหลักจะจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติของ Mino Wachi และกระบวนการผลิต ส่วนห้องแสดงนิทรรศการห้องที่ 2 ท่านจะได้เห็นการประยุกต์ใช้งานกระดาษ Mino Wachi ในรูปแบบต่าง ๆ และจะทำให้คุณรู้จัก Wachi ได้อย่างลึกซึ้งและความเป็นไปได้ที่จะใช้งานในอนาคต

กิจกรรมภายในพิพิธภัณฑ์    

              คุณจะสัมผัสกับการผลิตกระดาษแบบดั้งเดิม โดยจะมี 2 หลักสูตร หลักสูตรแรกเป็นหลักสูตรระยะสั้น คุณจะสนุกสนานกับการทำกระดาษขนาดเล็ก ๆ เช่น จดหมายหรือการ์ดข้อความ ส่วนอีกหลักสูตร เป็นการเรียนรู้การทำกระดาษแบบเต็มเวลา โดยจะใช้เวลา 1 วัน คุณจะได้ใช้เครื่องมือและวัสดุที่ช่างฝีมือใช้ในการผลิตจริง ในพิพิธภัณฑ์กระดาษแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม Mino Washi ยังมีโรงเรียนสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นช่างฝีมืออีกด้วย

ด้านนอกของพิพิธภัณฑ์กระดาษ
   ด้านนอกของพิพิธภัณฑ์กระดาษ

 นอกจากนี้ยังมีการวาดรูปดอกไม้ที่มีอยู่ในแต่ละฤดูกาลลงบนกระดาษอย่างสวยงามด้วยนะคะ โดยอาจารย์  Mr. Kikue Tsuji

นิทรรศการจากกระดาษญี่ปุ่นจากศิลปินแห่งชาติ 2019  (Mino Washi no Sato Kaikan) 

                ห้องจัดนิทรรศการกระดาษญี่ปุ่นแห่งชาติ ที่ได้รับการสนับสนุนจากเมืองมิโนะ จังหวัดกิฟุ และความร่วมมือจากบริษัทและหน่วยสมาคมศิลปะจิตรกรรมแห่งประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้จัดแสดงผลงาน 67 ชิ้นจากศิลปินทั่วประเทศ

 

สถานที่ท่องเที่ยว Mino Washi พิพิธภัณฑ์กระดาษแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม (美濃和紙の里会館 / Mino Washi Japanese Traditional Paper Museum)
ที่อยู่ 1851-3 เมืองวาราบิมิโนะ จังหวัดกิฟุ 岐阜県美濃市蕨生1851-3 1851-3 Warabi, Mino-shi, Gifu
โทรศัพท์ / โทรสาร Phone: 0575-34-8111 / Fax: 0575-34-8280
เว็บไซต์ http://www.city.mino.gifu.jp/minogami/
เวลาทำการ วันจันทร์:09:00-17:00 (วันสมัครสุดท้ายที่: 16:30)
วันพุธ:09:00-17:00 (วันสมัครสุดท้ายที่: 16:30)
วันพฤหัส:09:00-17:00 (วันสมัครสุดท้ายที่: 16:30)
วันศุกร์:09:00-17:00 (วันสมัครสุดท้ายที่: 16:30)
วันเสาร์:09:00-17:00 (วันสมัครสุดท้ายที่: 16:30)
วันอาทิตย์:09:00-17:00 (วันสมัครสุดท้ายที่: 16:30)
วันหยุด วันอังคาร
ค่าเข้าชม ค่าเข้าชมที่ต้องเสียค่าบริการ  : 500 เยน

โคโดคุชิ 孤独死 การตายโดยลำพังของคนญี่ปุ่น

ความหมายของ孤独死 (Kodokushi) คือ นิยามการเสียชีวิตของผู้ที่อาศัยอยู่ตัวคนเดียว    “孤独Kodoku” หมายถึง ความโดดเดี่ยว ส่วนคำว่า “死Shi” แปลว่า ความตาย เมื่อคนญี่ปุ่นนำ 2 คำนี้มารวมกันมักใช้ในบริบทที่สื่อถึง “การเสียชีวิตในห้องพักที่ไม่มีใครรับรู้” และยังมีอีกคำศัพท์ที่มีความหมายใกล้เคียงกัน คือ孤立死 (Koritsushi) ที่มีความหมายว่า การตายโดยลำพังด้วยเช่นกัน ซึ่งคำว่า孤独死 (Kodokushi)

ตัวอย่างการตายอย่างโดดเดี่ยว

                  การตายโดยลำพังหรือการตายอย่างโดดเดี่ยว ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุเป็นส่วนมาก ตัวอย่างเช่น

1046694-img.snhj5b.vnnw

กรณีที่ 1

               เมืองมัตสึโดะ จังหวัดชิบะ เมื่อปี 2544 ที่เกิดปัญหาว่ามีคนเสียชีวิตและไม่มีใครพบศพเลยเป็นเวลา 3 ปี ถือว่าเป็นระยะเวลาที่ยาวนานที่สุด ซึ่งตอนที่พบนั้นก็เหลือแต่โครงกระดูกแล้ว

กรณีที่ 2

   นายฮิโรอากิ ชายวัย 54 ปี ที่ถูกพบเป็นศพในอพาร์ทเมนท์หลังจากที่เสียชีวิตมานานกว่า 4 เดือน รอบๆ ห้องเต็มไปด้วยกองขยะ ถ้วยบะหมี่สำเร็จรูป กระป๋องเครื่องดื่ม หนังสือพิมพ์เก่าๆ ก้นบุหรี่ และฟูกที่นอนอับๆ ซึ่งอดีตนายฮิโรอากิเคยเป็นวิศวกรทำงานบริษัทใหญ่ๆ แต่ก็เป็นเพียงพนักงานจ้างตามสัญญาทำให้ไม่มีเงินใช้ยามชราและเขาก็หย่ากับภรรยามาหลายปีจึงต้องอาศัยอยู่คนเดียวในอพาร์ทเมนท์เก่าๆ มีการสันนิษฐานว่าผู้เสียชีวิตอาจจะป่วยเป็นโรคตับ เนื่องจากพบกระป๋องเบียร์และบุหรี่เป็นจำนวนมากภายในห้องเช่า

            นอกจากการตายโดยลำพังแล้วนั้น ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์เหล่านี้คือ อาชีพการรับจ้างทำความสะอาดห้องที่มีคนตาย โดยมีบริษัทเกิดขึ้นมามากมายหลายบริษัท มีเครื่องมือและขั้นตอนการทำความสะอาดที่ต้องมีขั้นตอนการเตรียมการและความชำนาญพอสมควร 

 

thumb_59344_media_image_1144x724

 

                ถึงแม้อาจจะดูเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากในประเทศไทย แต่ก็ไม่อยากให้เพื่อนๆละเลย การให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุในครอบครัวนะคะ  และสำหรับเพื่อนๆที่ยังไม่มีแผนไปไหนในช่วงสงกรานต์ วันที่ 14 เมษายนนี้ เป็นวันครอบครัว แอมคลับก็ขอเชิญชวนทุกท่านพาครอบครัวที่คุณรักไปเที่ยวกับเรานะคะ 

ขอขอบคุณบทความวิชาการโคโดคุชิการตายโดยลำพังของคนญี่ปุ่น ของนิสิตมหาวิทยาลัยทักษิณ